•  
  •  
  •  
 
   
   
 
โอบอ้อมอารี   และความปรารถนาดีที่ท่านได้หยิบยื่นให้แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังว่าจะได้สิ่งใดตอบแทนกลับคืน   ส่งผลให้ทุกๆคนที่ได้รับไมตรีจิตจากท่าน
ต่างรู้สึกซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างดีตลอดมา
 
คุณโฉมศรี   สุกกสังค์ อดีตนักศึกษารุ่นน้องที่วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้รับความปรารถนาดีจากท่านอาจารย์ประณีต 
ดิษยะศริน สืบเนื่องต่อมายาวนาน   จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังมีการติดต่อส่งข่าวคราวถึงกันอยู่เสมอ  ท่านได้กล่าวถึงความห่วงใยและความมีน้ำใจของท่าน อาจารย์ประณีต   ดิษยะศริน ซึ่งได้รับมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ว่า  "ท่านอาจารย์ประณีตมีความคิดถึง  มีความเมตตา  และมีความห่วงหาดิฉันอยู่เสมอ  และ บางครั้งเมื่อท่านว่าง  ท่านก็จะลงมือทำขนมด้วยฝีมือของท่านเอง  บ่อยครั้งที่ท่านให้คนขับรถนำอาหารมาส่งให้รับประทาน   และดูเหมือนท่านเกรงว่า เราจะไม่รับประทาน  หรืออาจจะคิดว่าอาหารไม่สะอาด  อย่างเช่นกล้วยตากนี้  ท่านจะเขียนข้อความมาบนกล่องว่า  "พี่ประณีตทำเองสะอาดค่ะ"  หรือมี คราวหนึ่งดิฉัน ได้ไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของท่าน  เมื่อถึงเวลาจะกลับท่านอาจารย์ประณีต   ก็บอกให้เอาทุกเรียนไปกิน   เป็นทุเรียนที่นำมาจาก สวน  พอเรา ก็หยิบทุเรียนขึ้นมา  ท่านก็เรียกแล้วพูดว่า "มา...พี่งัดให้ เดี๋ยวน้องงัดไม่เป็น" เป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยอย่างชัดเจนว่า แม้แต่ ใน เรื่องเล็ก เรื่องน้อยท่านอาจารย์ก็ยังเอาใจใส่ดูแลและไม่เคยมองข้ามเลย
 
เรื่องราวของความห่วงใยและอาทรผู้อื่นที่ท่านอาจารย์ประณีต   ดิษยะศรินมีให้แก่ผู้คนรอบข้างนั้น   มีมากมายจนยากที่จะพรรณนาได้หมดจดครบถ้วน   
แต่ไม่ว่าจะผู้ที่ได้รับกุศลจิตจากท่านย่อมรำลึกนึกถึงในคุณงามความดีของท่านไปโดยตลอด
 
ในเรื่องของความห่วงใยผู้อื่นเสมือนห่วงใยญาติพี่น้องของท่านอาจารย์ประณีต  ดิษยะศริน นั้น  อาจารย์พยอม   สารานนท์  เพื่อนร่วมรุ่นของท่านอาจารย์
เมื่อครั้งเรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสตรีหาดใหญ่สมบูรณ์กุลกันยา   ปัจจุบันท่านเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของโรงเรียนศรีสว่างวงศ์   ได้กรุณาเล่าเรื่องราวบางส่วน ที่ท่านอาจารย์ประณีตได้แสดงความห่วงใยต่อครอบครัวของเธอไว้   ดังนี้   "ทุกครั้งที่อาจารย์ประณีต    ดิษยะศริน   ทราบว่าสามีเข้าโรงพยาบาล  ท่านจะมา เยี่ยม เป็นคนแรกเสมอ  นอกจากนี้ท่านมักจะส่งเด็กให้นำอาหารมาให้สามีของดิฉันอยู่เป็นประจำ   สัปดาห์หนึ่งประมาณ  4  วัน   จนกระทั่งบางครั้ง  สาม ีบอกว่าเกรงใจท่านอาจารย์ประณีตมากเลย   ท่านมีแต่ให้เราเป็นผู้รับ   และไม่ทราบว่าจะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไร   นอกจากนี้ท่านก็ยังให้ กำลังใจ แก่สามีอีกด้วย"
 
นอกจากนี้อาจารย์พยอม   สารานนท์   ยังได้กล่าวถึงความห่วงใยและการดูแลช่วยเหลือของท่านอาจารย์ประณีต  ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเหลือในด้านวัตถุ
สิ่งของเท่านั้นท่านยังช่วยทุกอย่างแม้กระทั่งช่วยให้ความรู้   ให้คำแนะนำ   ด้วยประสบการณ์ของท่าน   ดังความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า   "อาจารย์ประณีต ท่านจะ เป็นที่รักใคร่ ของเพื่อนฝูง  เพราะว่าท่านมีนิสัยโอบอ้อมอารี   ชอบให้ความช่วยเหลือเพื่อนฝูงอยู่เสมอ ๆ  อย่างเช่น ท่านได้ช่วยแนะนำดิฉันในเรื่อง ของการก่อสร้าง โรงเรียน ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือติดต่อประสานงานกับใครบ้าง  ทำให้ลดงบประมาณค่าใช้จ่ายไปได้มากทีเดียว"
 
นี่คือภาพสะท้อนเพียงบางส่วน  ที่พอจะหยิบยกขึ้นมาประกอบ  จากคำบอกเล่าที่ประทับอยู่ในความทรงจำของบุคคลในหลากหลายสาขาวิชาชีพตั้งแต่
อดีตล่วงมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้พอที่จะฉายภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า  ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน นั้น เรียกได้ว่าท่านสนับสนุนดูแล   ช่วยเหลือบุคคลที่อยู่ รอบข้าง ตลอดจน บริการบุคคลต่าง ๆ นับตั้งแต่ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ไปจนถึงคนรอบข้าง  ทั้งที่เป็นคนในแวดวงกันเอง  หรือแม้แต่จะเป็นบุคคลที่ต่างองค์กร หรือ ต่างสถาบันก็ตาม   โดยภาพรวมท่านได้ให้ความช่วยเหลือแก่สังคมด้วยกำลังกาย  กำลังใจ  กำลังสติปัญญา  รวมไปถึงกำลังทรัพย์ตลอดจนวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เพื่อที่ จะให้แก่บุคคลที่เป็นมิตรสหาย ของท่านรู้สึกเป็นสุขใจ  หรือที่ประสบกับเรื่องทุกข์ก็อาจจะผ่อนหนักเป็นเบาลงได้บ้าง   ท่านอาจารย์ประณีต   ดิษยะศริน   นับว่าเป็นผู้ ที่มีความสุขอันเนื่องมาจากการให้  ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงเป็นความรู้สึกอิ่มใจทั้งผู้ให้และผู้รับ  นับเป็นลักษณะอุปนิสัยชอบสร้างกุศลจิต อุทิศดูแล เผื่อแผ่ผู้อื่น โดยแท้   ซึ่งลักษณะอุปนิสัยเหล่านี้  หากจะกล่าวไป  ก็มิได้ผิดแผกไปจากคุณพ่อและคุณแม่ของท่านเลยแม้แต่น้อย
 
กล่าวคือ  เป็นที่ทราบกันดีในเหล่าญาติพี่น้องและบุคคลที่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ประดิษฐ์  ดิษยะศริน ว่าท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตากรุณา  มีความโอบ
อ้อมอารี ชอบช่วยเหลือบุคคลอื่นๆอยู่เสมอเช่นกัน   ใครที่มีเรื่องทุกข์ร้อนหรือมีความเดือดร้อนใดๆ    เมื่อได้เข้ามาหาท่านก็จะไม่ผิดหวังกลับไป เพราะท่านจะไม่ ปฏิเสธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นพี่ ๆ น้อง ๆ และลูกหลานด้วยแล้ว  ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่ทุม น้องทุม  คุณลุงทุม หรือคุณตาทุม (ชื่อเดิมท่านอาจารย์ประดิษฐ์   ดิษยะศริน) ฯลฯ เป็นคนใจดีทั้งสิ้น
 
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่านอาจารย์ประดิษฐ์  ดิษยะศรินนั้น ใช่ว่าจะมีให้แก่ลูกหลาน ญาติพี่น้อง  หรือผู้ใกล้ชิดแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเอื้อเฟือ
เผื่อแผ่ หรือมีความคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในสังคมโดยรวมอีกด้วย  ความคิดที่จะอุปถัมภ์จรรโลงสังคมตามกำลังสติปัญญา  ความรู้และความสามารถที่ตนพึงมีนี้   ปรากฏให้เห็น เป็นที่ประจักษ์แก่บุคคลรอบข้างอยู่เสมอ  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการศึกษาค้นคว้าและเรียงเรียงหนังสือ  ชื่อ  "ทฤษฎีอภิปรัชญา"  พิมพ์ครั้งแรก 
6 เมษายน  พ.ศ.2490  จำนวน 1,000 เล่ม   ซึ่งท่านได้ใช้เวลาค้นคว้ารวบรวมและเรียบเรียงจากหลักวิชาต่างๆ  ถึง  4 ปีเต็ม  นัยสำคัญในความคิดก็คือ   ท่านปรารถนาที่จะเห็นสังคมมีความสงบสุข   ดังที่ท่านได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า  "ข้าพเจ้ามีความปรารถนาอันแรงกล้าอยากจะให้โลกมนุษย์ประสบสันติสุข   และสันติภาพอันแท้จริงอย่างถาวร   จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าคิดหาหนทาง ที่จะให้เป็นไปดังความปรารถนา"
 
ซึ่งนอกจากการเขียนตำราเพื่อชี้แนะหนทางที่จะสร้างสันติสุขแล้ว   ท่านยังมีแนวความคิดที่จะปรุงยาแผนโบราณขนานต่าง ๆ ขึ้นเพื่อเยียวยารักษาคนไข้
อีกด้วย การปรุงยาสูตรต่าง ๆ ของท่าน เป็นไปตามสูตรการเข้ายาหรือร่วมยาแบบโบราณ    โดยมีผู้รู้ซึ่งได้รับการอบรมวิชาการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณในสาขา เวชกรรม อาทิ  คุณหมอพลับ   ไชยะวงศ์  เป็นผู้ให้การรักษาคนไข้  ภายใต้ชื่อ "แสงทิพย์โอสถสถานพยาบาล"  ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในโรงเรียนหาดใหญ่ อำนวยวิทย์ในสมัยนั้น และเมื่อท่าน คิดที่จะเปิดการรักษาเป็นสถานพยาบาล    ท่านอาจารย์ประดิษฐ์  ดิษยะศรินนั้น   ก็ได้ทำคำขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาตผลิตยา โดยถูกต้องตามกฎหมาย   และเมื่อท่านคิดปรุงยา แผนโบราณขนานต่างๆ เพื่อใช้รักษาโรคได้สำเร็จ   ท่านก็ยังมีจิตปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วย
 
เกี่ยวกับเรื่องนี้ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนจากคำบอกเล่าของพระปริยัติวรานุกูล   เจ้าอาวาสวัดหงส์ประดิษฐ์ฐาราม  ในขณะนั้นท่านได้กล่าวไว้ว่า
"ในช่วงระยะที่คุณครู(ท่านอาจารย์ประดิษฐ์    ดิษยะศริน) ได้มอบการบริหารโรงเรียนให้ลูกๆหมดแล้ว   แต่ด้วยอาศัยที่ว่าเป็นคนที่หยุดนิ่งไม่ได้  ไม่ยอม ให้ชีวิตล่วงไปโดยไม่มีประโยชน์  ท่าน ได้คิดปรุงยาขึ้นขนานหนึ่งแก้โรคต่าง ๆ เมื่อปรุงเสร็จ  ก็นำไปถวายวัดต่าง ๆ ในอำเภอหาดใหญ่ และวัด ต่าง ๆ  และจำหน่ายบ้างโดยไม่ได้หวังผลกำไร   เพียงแต่ได้ทุนกลับมาแล้วทำต่อ"
 
นอกเหนือจากการช่วยเหลือเยียวยา    ด้วยความปรารถนาดีที่มีต่อสังคมโดยรวมแล้ว   ท่านอาจารย์ประดิษฐ์ยังได้สนับสนุนให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน
ที่ยากจน และการบริจาคสิ่งของแก่หน่วยงานต่างๆ  อีกหลายรายการ  อย่างสม่ำเสมอตลอดมา
 
ไม่เพียงแต่ท่านอาจารย์ประดิษฐ์  ดิษยะศริน  จะเป็นผู้ที่มีกุศลจิตแก่สังคมดังเช่นที่กล่าวแล้ว   ในส่วนของคุณยายลำดวน  ดิษยะศริน  ซึ่งเป็นคุณแม่
ของท่านอาจารย์ประณีต  ดิษยะศริน  ก็มีอุปนิสัยทำนองเดียวกันนี้เช่นกัน  คือ ชอบช่วยผู้อื่นและมีความเมตตาแก่บุคคลรอบข้าง
 
เกี่ยวกับเรื่องนี้  อาจารย์ภารดี  เจตะสานนท์  ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่กับท่านอาจารย์ประณีต   ดิษยะศริน  ได้กล่าวถึงคุณยายลำดวนไว้สั้น ๆ  แต่ก็เสมือน
ได้ฉายภาพอื่น ๆ ของท่านไว้แทบครบถ้วนด้วยประโยคที่ว่า  "คุณแม่ของอาจารย์ประณีต  เป็นคนใจดีมาก ๆ เลย"
 
และบุคคลสำคัญที่นับว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับคุณยายลำดวน  ดิษยะศริน  อีกผู้หนึ่งก็คือ  พล.อ.อ.ประหยัด  ดิษยะศริน ซึ่งเป็นคุณอาของท่านอาจารย์ประณีต 
ดิษยะศริน ท่านได้เคยเล่าถึงความเมตตาและความใจดีของคุณยายลำดวน  ดิษยะศริน  ไว้ดังนี้    "ผมไม่ได้คิดเลยว่าพี่เฮียง(คุณยายลำดวน  ดิษยะศริน)  เป็น พี่สะใภ้ของผม   ผมมีความเคารพ  รัก  เทิดทูนพี่เฮียงเหมือนกับพี่สาวแท้ๆของผมมานานแสนนาน   เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเด็ก  ผมอยากได้หรืออยาก รับประทานอะไร   ก็จะบอกกับพี่เฮียง   แล้วผมก็จะได้ของตามความต้องการทุกครั้งไป   ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเช่นนี้  จึงทำให้ผมไม่อาจ ลืมถึงความเมตตา กรุณาต่อผมมาโดยตลอดนั้นได้"
 
ด้วยข้อมูลบางส่วนที่ได้หยิบยกมาพอสังเขปนี้   อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า  ท่านอาจารย์ประณีต  ดิษยะศริน ได้ถอดแบบอุปนิสัย
มาจากคุณพ่อและคุณแม่ ของท่านอยู่หลายประการโดยเฉพาะสิ่งที่เห็นได้อย่างเด่นชัดก็คือ   การมีจิตใจที่เสียสละ   ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของความคิดที่มีแต่จะให้นับ เป็นลูกไม้ที่หล่น ไม่ไกลต้นโดยแท้