|
|
|
|
|
ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ถือกำเนิดในวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2481 บริเวณย่านหาดใหญ่ใน ที่ตั้งของบ้านท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน
|
ในวัยเด็กนั้น ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามกับโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยาในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อครั้งอดีตโรงเรียนแห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนสตรีประจำอำเภอด้วย
|
|
บ้านของท่านอาจารย์ประณีต มีลักษณะเป็นเรือนไทยทรงสูงแบบโบราณ รายล้อมด้วยต้นไม้ อาทิมะเฟือง มะยม และต้นไม้อื่นอีกหลายชนิด ด้านล่างเป็น
|
ใต้ถุน และมีลานกว้าง จึงกลายเป็นสถานที่ ที่เด็กๆ ในละแวกมักจะมาวิ่งเล่นหรือปีนต้นไม้กัน โดยเฉพาะในช่วงเช้าๆ ก่อนไปโรงเรียน
|
|
ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ในวัยเด็กมีชื่อว่า "หนู" ซึ่งอาจารย์ลักขณา ตะเวทิกุล น้องสาวแท้ๆ ของท่านอาจารย์ ได้เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ
|
ชื่อเล่นของท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ในวัยเด็กไว้ดังนี้
|
|
|
|
"ในสมัยวัยเด็กนั้น น้อง ๆ ของอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน จะเรียกชื่อพี่สาวคนนี้ว่า พี่หนู ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่เรียกกันจนติดปาก และหลานๆ หรือเครือญาติฝ่ายคุณแม่ ก็ยังเรียกชื่อเดิมกันว่า น้องหนูหรือพี่หนู"
|
|
|
|
|
ผู้คนในเมืองหาดใหญ่ยุคสมัยนั้นอยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย และเหตุการณ์บ้านเมืองดำเนินไปอย่างปกติสุข จนเมื่อท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน
|
มีอายุถึงเกณฑที่จะต้องเข้าโรงเรียน ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเทศบาล 2 ซึ่งตั้งอยู่ในย่านหาดใหญ่ใน มูลเหตุที่ได้เลือกเรียนที่โรงเรียนเทศบาล 2 ในช่วงปฐมวัยนั้น ก็เพราะว่า โรงเรียนตั้งอยู่ใกล้บ้าน ดังนั้นการเดินทางไปมาจึงกระทำได้โดยสะดวก ซึ่งท่านก็ได้เริ่มเรียนที่โรงเรียนเทศบาล 2 มาตั้งแต่ ชั้น ป. เตรียม ต่อ ป.1 และ ป.2 โดยลำดับ
|
|
โดยเฉพาะในช่วงที่ท่านอาจารย์มีอายุย่างเข้า 4 ขวบนั้น สถานการณ์ของโลกก็เริ่มพลิกผัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ "สงครามมหาเอเชียบูรพา" |
|
|
สงครามมหาเอเชียบูรพา อุบัติขึ้นในวันที่ 8 เดือนธันวาคม พ.ศ.2484 ช่วงนั้นประเทศไทยได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ทุกหนแห่ง |
ตกอยู่ในสภาวการณ์ที่ขาดแคลนเครื่องอุปโภค บริโภค ประเทศญี่ปุ่นได้ส่งกำลังกองทัพทางทะเลยกพลขึ้นบกในหลายแห่งของประเทศไทย จังหวัดสงขลาก็เป็นหนึ่ง ในจำนวน นั้น โดยเฉพาะในเมืองหาดใหญ่ ได้ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดลงกลางทุ่งนา บริเวณหน้าสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ สงครามมหาเอเชียบูรพา ส่งผลให้ สถานบันเทิงโดย เฉพาะโรงภาพยนตร์ ในเมืองหาดใหญ่ต้องปิดกิจการลงหลายแห่ง แต่ในทางกลับกัน เหตุการณ์ดังกล่าวกลับส่งผลให้เกิดกิจกรรมบันเทิงอื่น ๆ เข้ามา ทดแทน อาทิ จ้ำบ๊ะ ลิเก โรงรำวง รถไต่ถัง เป็นต้น
|
|
แน่นอนว่า สภาพของเมืองหาดใหญ่ ที่เติบโตขึ้นท่ามกลางสภาวะของสงครามนั้น ย่อมส่งผลต่อการทำมาค้าขายของผู้คนโดยทั่วไปอยู่พอ |
สมควร และในเหตุการณ์นั้นเองทำให้ครอบครัวของท่านอาจารย์ประณีต ต้องพากันย้ายออกไปพักอาศัยอยู่ที่ริมทะเลสาบสงขลา บริเวณบ้านปากบางภูมีบ้าง หรือที่ บ้านคลองต่ำบ้าง เป็นครั้งคราวจนกระทั่งเหตุการณ์เริ่มสงบลง ได้พากันกลับมาพำนักยังเมืองหาดใหญ่ ถือได้ว่าคุณพ่อและคุณแม่ของท่านอาจารย์ประณีตเป็นผู้นำพา ครอบครัว "ดิษยะศริน" ให้ฟันฝ่าอุปสรรคจนผ่านพ้นวิกฤตินั้นมาได้อย่างปลอดภัย
|
|
ในปี พ.ศ.2488 ซึ่งท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน มีอายุประมาณ 8 ขวบ เป็นช่วงที่สงครามใกล้จะเลิก ท่านยังจำได้ว่าเมื่อเครื่องบินมา |
จะได้ยินเสียงหวอเตือนภัย ก็จะพากันวิ่งลงหลุมหลบภัย ที่บ้านคุณลุงท่านขุนจำนงค์ คุณพ่อของ ดร.ปกิต กิระวานิช อยู่เนือง ๆ
|
|
จนกระทั่งเหตุการณ์สงบ ท่านก็ได้ย้ายไปเรียน ป.3 และ ป.4 ที่โรงเรียนวัดโคกสมานคุณ เนื่องจากว่าท่านอาจารย์ประดิษฐ์ ดิษยะศริน ซึ่งเป็นคุณพ่อ
|
ของท่านอาจารย์ประณีตเป็นครูใหญ่อยู่ที่นั่น ในตอนนั้นอาจารย์ประดิษฐ์ ได้ยกโรงเรียนแต่ครั้งดั้งเดิม คือ "โรงเรียนหาดใหญ่วิทยา" ซึ่งคุณปู่และคุณย่าของท่าน อาจารย์ประณีต ได้สร้างขึ้นให้กับวัดโคกสมานคุณ คือ โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน ปัจจุบัน ทำให้ท่านอาจารย์ประณีตมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตในวัยเด็กช่วงหนึ่งของ ท่านศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ โรงเรียนวัดโคกสมานคุณแห่งนี้
|
|
ชีวิตในวัยเด็กของท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน แม้ว่าจะดำเนินไปตามลักษณะของเด็กในท้องถิ่นชนบทโดยทั่วไป ทั้งวิถีการเล่น การกิน การอยู่
|
แต่กระนั้นท่านเองยังต้องช่วยทำงานบ้าน เลี้ยงน้อง เนื่องจากว่าท่านเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัว ซึ่งนอกจากจะต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยตนเองเป็นหลัก แล้วยังมีภาระหน้าที่ในการที่จะต้องดูแลน้องๆ อีก 2 คนอีกด้วย
|
|
ช่วงที่ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน อายุประมาณ 8-10 ขวบ ท่านต้องทำงานทุกอย่างเท่าที่จะมีเรี่ยวแรงพอทำได้ ไม่ว่าจะเป็นขายข้าวสาร |
ขายข้าวโพดต้ม ขายลูกกอ หรือบางทีก็ขายลูกหยี และก็มีบ่อยครั้งที่จะต้องหิ้วหม้อลูกหยีเดินเท้าเพื่อที่จะเอาสิ่งละอันพันละน้อยไปส่งถึงที่หาดใหญ่นอก ให้คุณป้า ธัญญะ ขายกาแฟในโรงแรม คุณอารสสุคนธ์ เรียกว่าถึงฤดูของพืชผลอะไรก็จะตั้งเพิงขายหน้าบ้าน บริเวณหลังที่ว่าการอำเภอบ้าง หลังบ้านพักนายอำเภอบ้าง วันอาทิตย์ไปขายข้าวสารตลาดนัด และถึงแม้ว่า ท่านจะหาเงินหาทองได้มาด้วยความยากลำบากเพียงใดก็ตาม ท่านก็ยังเป็นคนใจดีและเป็นผู้ให้ มีความรัก ความเสียสละ ให้กับน้องๆ เพื่อนฝูงหรือคนอื่นๆที่อยู่รอบข้างเสมอ ๆ
|
|
ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้จ่ายเรื่องใดก็ตาม ท่านต้องคิดอย่างรอบคอบ และจะไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเป็นอันขาด จนบางคนอาจจะนึกว่าท่านมีความตระหนี่ถี่เหนียว
|
แต่ท้ายที่สุดคนรอบข้างถึงได้ทราบความจริงในภายหลังว่า ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศรินนั้น แท้จริงแล้วมิได้มีอุปนิสัยเช่นนั้นเลย เพียงแต่ประสบการณ์ชีวิตที่ ผ่านมา ทำให้ท่านต้องมีความรอบคอบ แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องใช้จ่าย ก็จะใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่าที่สุด
|
|
นอกเหนือจากการทำงานด้วยการขายของแล้ว ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ยังได้ช่วยงานของคุณยายลำดวนซึ่งเป็นคุณแม่ของท่านอย่าง
|
ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ซึ่งทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของท่าน ก็พยายามที่จะถ่ายทอดและปลูกฝังแต่สิ่งที่ดีงามให้แก่ลูกๆ ไม่เว้นแม้แต่การปลูกฝังนิสัยในเรื่องของการเข้าวัด ทำบุญ จะมีพระสงฆ์มาเยี่ยม มาคุยที่บ้านหรือไม่ก็ท่านอาจารย์ประดิษฐ์ ดิษยะศริน ซึ่งเป็นคุณพ่อของท่านอาจารย์ ก็จะไปคุยที่วัด อาทิ น้าหลวงจันท์ วัดโคก สมานคุณ หลวงพ่อฮก วัดโคกทราย ได้ร่วมกัน สร้างพระปาฏิหารย์ หลวงพ่อแก้ว วัดคลองเรียน หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง และบางครั้งก็ได้นมัสการคุยกับหลวงพ่อ พระอาจารย์พุทธทาส เรียกได้ว่าครอบครัวดิษยะศริน มีความใกล้ชิดกับวัดและพระสงฆ์มาตั้งแต่รุ่นของคุณพ่อและคุณแม่ จนกระทั่งลูกหลานค่อย ๆ ซึมซับอุปนิสัยเหล่านี้ สืบมา อาจกล่าวได้ว่าคุณพ่อและคุณแม่ของท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศรินนั้น เป็นเสมือนผู้หยิบยื่นสะพานบุญและถ่ายทอดลงไว้ในตัวของท่านอาจารย์ประณีตอย่าง เต็มเปี่ยม จนกาลต่อมาเมื่อมีกิจการใดอันเป็นกุศล หรือมีส่วนช่วยในการเผยแผ่ และสืบทอดพระพุทธศาสนา ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทุกครั้งไป
|
|
บ้านของท่านอาจารย์ประณีตนั้น ตั้งอยู่ใกล้กับลำคลองอู่ตะเภาซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของผู้คนโดยเฉพาะกับชาวหาดใหญ่ จึงนับเป็นโอกาสดีของเด็ก ๆ
|
ในละแวกที่จะได้อาศัยสายน้ำลำคลองเป็นสถานที่เล่นเพื่อความสนุกสนานในยามว่าง
|
|
ถึงแม้ว่าเวลาว่างในวัยเด็กของท่านอาจารย์จะหาได้ยากเต็มทีแต่เมื่อมีโอกาสท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ก็มักจะชวนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงไปเล่นน้ำ
|
ที่บริเวณริมคลองอู่ตะเภาอยู่เสมอ ๆ ซึ่งท่านได้เล่าถึงลักษณะของคลองอู่ตะเภาตลอดจนสภาพของเมืองหาดใหญ่ในสมัยนั้นไว้ดังนี้
|
|
|
"ในสมัยที่ครูยังเด็กๆ นั้น บริเวณริมคลองอู่ตะเภาที่เรียกกันว่าหาดใหญ่ใน มีหาดทรายที่กว้างใหญ่ น้ำใส เห็นตัวปลาปักเป้า สวยงามมาก เวลาที่ไปเล่นน้ำกับญาติพี่น้อง ก็จะเห็นว่ามีต้นมะหาดต้นใหญ่อยู่แถวๆ นั้นด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของชื่อเมืองหาดใหญ่ในปัจจุบัน เมืองหาดใหญ่ในอดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างกันมากแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ในสมัยก่อนจะไปไหนก็ต้องเดินกันทั้งนั้น อย่างเวลาจะไปหาดใหญ่นอกที่ตลาดในเมืองเราก็ต้องเดิน เพราะว่าสามล้อยังมีไม่กี่คัน รถยนต์สมัยก่อนนี่แทบจะนับคันได้ ต้องระดับเศรษฐีจริง ๆ ถึงจะมีรถยนต์กัน ครูจำได้ว่าในสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมนั้นซึ่งครูก็โตแล้วด้วยซ้ำ ที่หาดใหญ่นอกมีบ้านช่องอยู่น้อยมาก จำได้ว่าที่บริเวณสถานีรถไฟยังมีบ้านมุงหลังคาจากอยู่เลย โดยเฉพาะในสมัยที่คุณพ่อและคุณแม่ของครูไปซื้อ โรงเรียนหาดใหญ่อำนวยวิทย์ (เดิมชื่อโรงเรียนสัตย์สงวนวิทยา เป็นของคุณรสสุคนธ์ สัตย์สงวน) ที่หาดใหญ่นอก ตรงนั้นยังไม่มีบ้านคนเลย กว่าจะมีคนเดินผ่านสักรายช่างหายากเต็มที รู้สึกว่าเมืองหาดใหญ่สมัยนั้นเงียบสงัดมาก แต่ที่ไหนได้ ดูสิ ตอนนี้เมืองหาดใหญ่เติบโตจนแทบไม่น่าเชื่อ ทั้งจำนวนพลเมือง การคมนาคม การศึกษา เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วจริง ๆ "
|
|
|
|
ภาพความทรงจำในวัยเยาว์ของท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ยังคงแจ่มชัด สดใส ราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านี้พึ่งจะเกิดขึ้นและล่วงผ่านพ้นไปไม่นาน
|
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความโชคดีของท่าน ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงที่สภาพบ้านเมืองยังคงดำรงความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างสมบูรณ์ มีโอกาสได้พบได้เห็นกับภาพ แห่งความเป็นท้องถิ่นแบบชนบทที่มีต้นไม้มีป่าอยู่รอบเมือง ประชากรในเมืองหาดใหญ่ก็ยังมีจำนวนไม่มากนัก คนทั่วๆไปก็จะรู้จักกันแทบทั้งหมด ความเป็นอยู่ของ คนหาดใหญ่ ในสมัยนั้นจึงมีความใกล้ชิดกัน พึ่งพาอาศัยและมีน้ำใจรู้จักที่จะช่วยเหลือกัน ซึ่งน่าจะยังคงเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจอยู่ทุกคราวเมื่อท่านได้รำลึกถึง
|
|
ด้านการศึกษาของท่านอาจารย์ประณีตในสมัยที่ท่านเป็นนักเรียน ยังมีระบบที่เรียกว่า "การพาสชั้น" ซึ่งนั่นหมายถึง การได้เลื่อนชั้นเรียนขึ้นไปในระดับ
|
ที่สูงกว่าก่อนถึงเกณฑ์กำหนด ผู้ที่จะมีโอกาสได้พาสชั้นขึ้นไปได้นั้น จะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน จนอาจเรียกว่าเป็นคนเก่งได้เลยทีเดียว ซึ่งท่านอาจารย์ประณีตเองก็อยู่ในข่ายดังเช่นที่กล่าวมานี้ เนื่องจากว่าท่านได้เรียนชั้น ป.3 เพียงแค่เทอมเดียว พอสอบเสร็จก็ได้เลื่อนขึ้นชั้น ป.4 ในทันที รวมความ แล้วท่านใช้ ระยะเวลาเรียนจากชั้น ป.3 ต่อ ป.4 เพียงแค่ปีเดียว ก็ได้เข้าเรียนในชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา จนกระทั่งจบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 รวมระยะเวลา 6 ปี
|
|
ในช่วงที่ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นั้น ท่านเป็นเด็กนักเรียนที่มีอุปนิสัยไม่ซุกซนและเรียบร้อยมาก จนกระทั่งเป็น
|
ที่ประทับใจแก่คุณครูผู้สอน โดยเฉพาะอาจารย์ฉลวย วัฒนา ซึ่งภาพของเด็กหญิงประณีต ดิษยะศริน ในสมัยนั้น ยังอยู่ในความทรงจำของครูสืบมาโดยตลอด ดังที่ ท่านได้กล่าวถึงท่า นอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ในวัยเด็กไว้ดังนี้ |
|
|
"เด็กหญิงประณีต ดิษยะศริน ตั้งแต่ ม.1 เป็นเด็กที่น่ารักมากเลย ม.1 ในสมัยนั้นก็คือ ป.5 สมัยนั้นเด็กหญิงประณีตเป็นเด็กรูปร่างเล็ก น่ารัก ตัวนิดๆ เล็กกว่าสมัยนี้เยอะ ไม่ถึงกับผอม ตัวเล็กสมส่วน เป็นเด็กเรียบร้อย น่ารักที่สุด ไม่เที่ยวซุกซน ไม่มีครูคนไหนจะไม่รักหรอก"
|
|
|
|
ไม่เพียงแต่ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน จะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการเร็ว เรียนเก่ง และเรียบร้อย ในวัยเด็กแต่เพียงเท่านั้น ท่านยังชอบในเรื่องของ
|
ศิลปศาสตร์แขนงอื่น ๆ อาทิ การฝีมือ เย็บปักถักร้อย อีกด้วย
|
|
จนเมื่อท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 คุณแม่ลำดวนก็บอกกับท่านอาจารย์ว่าจะส่งไปเรียนครูในระดับที่สูงขึ้นไป
|
ซึ่งตัวท่านอาจารย์เองนั้น เมื่อได้ยินคุณแม่บอกว่าจะส่งไปเรียนครู แรกทีเดียวก็ถึงกับบ่นเปรยๆ กับคุณแม่ว่า "ไม่ชอบเลยนะเป็นครู" แต่คุณแม่ลำดวน และ คุณพ่อประดิษฐ์ ก็ยังยืนยันอย่างหนักแน่นเช่นเดิมว่า "อย่างไรลูกก็ต้องเรียนครู ลูกเป็นลูกสาวคนโต และพ่อก็มีโรงเรียน ไม่อย่างนั้นใครจะมาดูแล โรงเรียนล่ะ" เมื่อคุณแม่และคุณพ่อยืนยันหนักแน่นชัดเจนเช่นนี้ ไหนเลยท่านอาจารย์จะปฏิเสธได้ ที่สุดท่านก็น้อมรับที่จะไปเรียนต่อในสายครูตามที่คุณแม่และคุณพ่อ ได้วาดหวังไว้
|
|
|
|
|
|
|
|