คำกล่าวสุนทรพจน์ของผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

พิธีประทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๑ รุ่นที่ ๑๐
ณ อาคารศูนย์กีฬาและกิจการนักศึกษา

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ประเภททั่วไป

          ขอถวายความเคารพพระมหาเถราทุกรูป ขอเจริญพรท่านนายกสภามหาวิทยาลัย ท่านอธิการบดี รองอธิการบดี คณาจารย์ ตลอดจนถึงบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตทุกท่าน

          วันนี้เป็นวันที่เป็นประวัติศาสตร์ ไม่เฉพาะของมหาวิทยาลัย แต่เป็นวันประวัติศาสตร์สำหรับ อาตมาภาพเองด้วย เมื่อปีที่แล้วมีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ประสานงานมาเพื่อถวายปริญญาให้แก่อาตมาภาพ แต่อาตมาภาพ ได้ตอบกลับไปว่า รอให้อาตมาแก่กว่านี้อีกนิดหนึ่งได้ไหม เพราะรู้สึกว่ายังเด็กเหลือเกิน เกรงว่าจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรองรับซึ่งเกียรติยศทางวิชาการนั้นได้ ปีนี้เมื่อได้ทราบข่าวจากมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ว่าจะถวายปริญญาให้แด่อาตมาภาพก็เรียกได้ว่าล่วงเลยขั้นตอนคืออนุมัติเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นอาตมาภาพ ก็เลยน้อมรับเกียรติยศทางวิชาการนี้ไว้ด้วยความอนุโมทนาอย่างยิ่ง ก็พยายามถามตัวเองอยู่ว่ามีคุณสมบัติ พอไหม ที่จะรับเกียรติยศทางวิชาการนี้เอาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อทางมหาวิทยาลัยได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ อาตมาก็ต้องขออนุโมทนาและก็พยายามอย่างยิ่งที่จะพิสูจน์ความเป็นดุษฎีบัณฑิตนั้น ๆ ด้วยประโยชน์ที่จะรังสรรค์ฝากไว้ให้แก่สังคมไทยของเราและแก่โลกของเรา

          จริง ๆ วันนี้อาตมาภาพก็เพิ่งฟื้นจากไม่สบายเนื่องจากไปแสวงบุญที่อินเดียตั้ง 9 วัน และก็ปฏิเสธงานไปเยอะเลยทีเดียว แต่ว่างานนี้เป็นงานที่สำคัญ เพราะว่าในชั่วชีวิตหนึ่งของเรานั้น การที่จะได้รับเกียรติ แม้จะมีกันหลายครั้ง แต่เกียรติที่ถือว่าเป็นเกียรติจริง ๆ ก็คือ เกียรติที่ได้มาโดยที่ใช้ปัญญาบริสุทธิ์ เกียรติที่มาจากอำนาจนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้ามีทรัพย์สินสมบัติมากมายก็เป็นธรรมดาที่ใคร ๆ ก็พร้อมที่จะ เอาเกียรติมาให้ ที่นี้ถ้ามีทรัพย์สินสมบัติมากมายก็เป็นธรรมดาที่จะสามารถใช้พลังของเงินตรานั้นทำให้ตน มีเกียรติได้

          แต่เกียรติยศทางปัญญานั้นเปรียบเสมือนมงกุฎบนพระเศียรของพระราชา เปรียบเสมือนเพชร บนเรือแหวนทองคำ ซึ่งถ้าไม่มีรากฐานที่มาหนักแน่นแล้วเผลอตัวเข้าไปรับไว้ประชาชนเขาก็รู้

          ฉะนั้น ทันทีที่ทางมหาวิทยาลัยได้มอบเกียรติยศทางปัญญานี้ให้ อาตมาภาพก็คิดว่าเป็นเกียรติ ที่สูงมาก สำหรับในชีวิตของพระเล็ก ๆ รูปหนึ่ง ตลอดวันเวลาของการทำงานที่ผ่านมาตั้งแต่จบการศึกษาเปรียญธรรม 9 ประโยค และพุทธศาสนามหาบัณทิต อาตมาภาพได้ใช้วันเวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับ การทำงานทางปัญญาทั้งงานเผยแพร่ทุกรูปแบบ สร้างโรงเรียนเตรียมสามเณรแห่งแรกของประเทศไทย อุทิศตนเป็นอาจารย์สอนตามมหาวิทยาลัย เขียนหนังสือทำรายการตามวิทยุและโทรทัศน์ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็มุ่งไปที่การสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมอุดมปัญญา

          ทีนี้การที่เราจะทำงานเช่นนี้ได้นั้นอาตมาก็ได้บทสรุปจากการลงแรงทำงานของตัวเองหลังจากที่ได้รับปริญญาไปแล้ว ซึ่งวันนี้จะนำมาบอกเล่าเก้าสิบให้เป็นคดีแก่บัณฑิตทุก ๆ ระดับ เพราะว่าเมื่อท่านรับปริญญาไปแล้ว วันหนึ่งโลกของการทำงานของท่านนั้นจะมีความซับซ้อนมากกว่าโลกในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างยิ่ง อาตมาเองเมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยแล้ว เดินออกทำงานบางครั้งยังตกใจ ตกใจว่าสังคมนั้นคาดหวังความเป็นมหาบัณฑิตจากเราสูงมาก ยิ่งเขาคาดหวังสูง เรามีวิธีตอบรับ 2 อย่าง 1) คือ ถอยออกไป คือไม่สู้ 2) ถ้าสังคมคาดหวังสูงเราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถสูงขึ้นมาตามความคาดหวัง อาตมาภาพเลือกทางที่ 2 ผลของการทำงานในชีวิตจริงได้บทสรุปมา 2 อย่างว่า

          เมื่อเราเรียนสำเร็จและมีปริญญา แล้วปริญญาที่เราได้รับโดยมากเป็นปริญญาวิชาชีพทำให้ เราทำมาหากินเป็น เอาตัวรอดได้ในทางเศรษฐกิจ แต่นั่นไม่พอ ประสบการณ์ในชีวิตสอนอาตมา เราจะต้องมีปริญญาอีกใบหนึ่ง นั่นก็คือปริญญาชีวิต ปริญญาวิชาชีพมหาวิทยาลัยให้เราได้ ให้เรามีทักษะในการดำรงชีวิตแด่ปริญญาวิชาชีวิต ใครก็ให้ไม่ได้เราต้องมอบให้ตัวเอง

          คนอย่าง ไมเคิล แจ็คสัน นั้นเป็นคนที่มีอัจฉริยภาพทางดนตรีสูงมาก แต่ทำไมเสียชีวิตตอนอายุ 51 ปี อาตมา สรุปชีวิตของไมเคิล แจคสัน ว่าเป็นผู้ที่ได้ปริญญาเอกทางดนตรีแต่ได้ปริญญาตรีทางวิชาชีวิต เพราะอะไร เพราะอัจฉริยภาพทางดนตรีนั้นเป็นวิชาชีพของเขา ทีนี้พอเขาประสบความสำเร็จจากวิชาชีพ ด้านดนตรี มีชื่อเสียง มีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติคุณทางสังคม มีธุรกิจ แต่ ไมเคิล แจคสัน ไม่สามารถบริหาร สิ่งเหล่านี้ได้ ในที่สุดเขาจึงกลายเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตประหลาดที่สุดคนหนึ่งเพราะอะไร เพราะเขาไม่มีศิลปะในการบริหารจัดการชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องของปริญญาชีวิต ถ้าวันหนึ่ง ไมเคิล แจคสัน ได้ปริญญาวิชาชีพด้วยและได้ปริญญาวิชาชีวิตด้วย คือมีธรรมะในหัวใจด้วย คนคนนี้จะอายุยืนกว่าที่เห็นและเป็นอยู่มาก เพราะในตัวของคนคนนี้เปรียบเสมือนทองคำแท่ง ศักยภาพเขาแต่งเพลงก็ได้ เขาเล่นดนตรีก็ได้ เขาร้องเพลงก็ได้ เขาทำธุรกิจก็ได้ เขาเป็นคนที่เป็นแรงบันดาลใจของใครต่อใครทั่วโลก แต่สิ่งหนึ่งที่เขาทำไม่ได้ก็คือ เขาไม่สามารถทำชีวิตตัวเองเป็นชีวิตที่สงบ ร่มเย็น และเป็นสุขได้ ศักยภาพตรงนี้ บางครั้งมหาวิทยาลัยก็ยังให้ไม่ได้

          เราทุกคนจะต้องให้ปริญญาชีวิตแก่ตัวเอง เราจะมอบให้แก่ตัวเองก็ต่อเมื่อเรามีปัญญา ฉะนั้น ทุกท่านทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้เป็นผู้ที่มีปัญญาเพราะบัณฑิตแปลว่า ผู้ดำรงชีวิตด้วยปัญญา อาตมาจึงเชื่อมั่นว่าทุกคนในห้องนี้เป็นผู้ที่มีปริญญา 2 ใบ คือทั้งปริญญาวิชาชีพที่มหาวิทยาลัยประสาทและให้ปริญญาวิชาชีวิตที่เกิดจากตกผลึก เกิดจากทักษะในการคิด ในการใช้วิจารณญาณของเราทุกคน

          เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน มีดุษฎีบัณฑิตจากสหรัฐอเมริกาคนหนึ่งสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็ปรากฏว่าถูกแฟนทิ้ง ทุกข์ อยู่กับตัวเองไม่ได้ ออกเดินทางไปทุกหนทุกแห่งจนถึงประเทศไทย เพื่อนที่เป็นคนไทย ก็บอกว่า ถ้าคุณอยากหายทุกข์ จากการอกหักครั้งใหญ่ บวชสิ ดุษฎีบัณฑิตคนนี้บวช บวชแล้วเขาไปไหน เขามุ่งลงใต้ไปหาท่านพุทธทาสภิกขุ เขาได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน แต่เขาไม่รู้ว่าท่านลึกซึ้งแค่ไหน ก็ไปกราบ ท่านพุทธทาส-ภิกขุ ท่านให้พักอยู่กุฏิหลังเล็ก ๆ ทุก ๆ วันเขาจะหาโอกาสมาคุยกับท่านพุทธทาส วันหนึ่งเขาก็มาคุยกับท่านทั้งน้ำตา ท่านอาจารย์ถามด้วยความเมตตาว่า ขอโทษนะคุณจบอะไรมา ปริญญาเอกครับหลวงพ่อ ทางไหน จิตวิทยาครับ แล้วบวชทำไมล่ะ ทุกข์ครับ ทุกข์เพราะอะไร อกหักครับ แล้วเรียนอะไรนะ จิตวิทยาครับ เออแล้วทำไมจิตวิทยาไม่สามารถทำให้โยมกลั้นน้ำตาได้ล่ะ นั้นสิครับหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดแค่นี้ก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป ดุษฎีบัณฑิตจากสหรัฐอเมริกาคนนั้นนั่งถามตัวเองว่า ตกลงฉันไปเรียนวิชาอะไรมา วิชาที่ไม่สามารถสลัดความทุกข์ออกไปจากหัวใจ วิชาที่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้ นี่ฉันเรียนมาตั้งกี่ปี เสียเงินไปมหาศาลเขากลับไปคิด คิดอยู่นานมาก ทีแรกตั้งใจว่าจะบวชแค่ 15 วัน อยู่ไปอยู่มาเขาบอกว่าขอต่ออีก 1 พรรษา เหตุผลคืออะไรรู้ไหม เขาบอกว่าที่ผมได้มาแค่ปริญญาวิชาชีพ แต่ที่ผมได้มาฟังจากท่านพุทธทาสมันเป็นปริญญาวิชาชีวิต นั่นก็คือศิลปะในการดำรงชีวิต เป็นเรื่องที่เราทุกคนจะต้องเรียนรู้ด้วยปัญญาของเราเอง

          บัณฑิตทั้งหลาย วันนี้ทุกคนได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต ซึ่งแปลว่าผู้แสวงผู้ดำรงชีวิตด้วยปัญญา ปัญญาวิชาชีพนั้นท่านได้แล้ว มหาวิทยาลัยแห่งนี้ประสาทให้อย่างเต็มที่ และอาตมาก็เชื่อมั่นว่าจากปรัชญาของมหาวิทยาลัย ปริญญาชีวิต มหาวิทยาลัยก็บูรณาการให้ท่านในทุก ๆ หลักสูตรด้วย อาตมาจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราทั้งหลายเมื่อสำเร็จการศึกษาและรับปริญญาออกไปแล้ว จะได้รับปริญญาทั้ง 2 ใบ นั่นคือ ปริญญาวิชาชีพ และปริญญาชีวิต โดยทั่วหน้ากัน

          ในท้ายที่สุดนี้ก็จึงขอเชิญคุณพระรัตนตรัยอำนวยชัยให้ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยทุกระดับชั้นตลอดจนถึง คณาจารย์ บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฏีบัณฑิตทุกคนมีความเจริญงอกงามทั้งในการดำรงชีวิตและใน การทำหน้าที่โดยทั่วหน้ากันทุกท่านทุกคนด้วยเทอญ

  

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี    
วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

  

Back