คำกล่าวสุนทรพจน์ของผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

พิธีประทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๙ รุ่นที่ ๑๘
ณ อาคารศูนย์กีฬาและกิจการนักศึกษา

รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์

ปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเภทวิชาการ

          กราบเรียนท่านนายกสภา อธิการบดี แขกผู้มีเกียรติ และสวัสดีบัณฑิตใหม่ทุกท่าน ในโอกาสอันเป็นมงคลและเป็นโอกาสที่บัณฑิตได้จบการศึกษา เพื่อไปพัฒนาประเทศ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าที่ผมจะอัญเชิญงานตลอด 46 ปี ที่ผมได้ถวายการรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) หัวข้อตามรอยพระบาทพ่อ เพื่อสานต่อพระราชปณิภาณ 5 บทสั้น ๆ ต่อไปนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน

          ปฐมบท เพื่อตระหนักว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2489 แต่ว่า ได้มีพิธีบรมราชาภิเษก ในวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เมื่อปี พ.ศ. 2513 ผมกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากการรับราชการในมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังมีโอกาสได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยรับใช้ในพระองค์ท่าน จนกระทั่งเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2559 รวมเวลาแล้วก็ 46 ปี ในครั้งกระนั้น มีเหตุการณ์สำคัญอยู่ 2 เรื่องคือ 1) การได้มีพระราชพิธีถวายพระสุพรรณบัตรจารึก พระปรมาภิไธย เป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศ รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราส บรมนาถบพิตร และ 2) ในวันนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ท่านได้เสด็จประทับบนบัลลังก์แล้ว พระองค์ท่านก็มีรับสั่งเป็นการพระราชทานปฐมบรมราชโองการครั้งแรกว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” อันนี้ไม่ได้เป็นคำกล่าวเฉย ๆ ลอย ๆ เพราะท่านก็ได้รักษาพระราชปณิธานนี้ ด้วยการดูแลทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ จนกระทั่งท่านได้สวรรคตวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ท่ามกลางความเศร้าโศกของบุคคลทั้งหลายอย่างที่ทุกท่านได้ทราบกัน

          ตลอดเวลาการดำรงพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน ท่านจะพัฒนาจากนอกเข้าสู่ใน หมายความว่า จะพัฒนาในลักษณะของชนบท ที่ผมกล่าวได้เช่นนี้ เพราะว่าทุกครั้งที่ท่านให้โจทย์ผมทำเป็นการบ้าน ท่านไม่เคยได้เร่งรัดผมเลยว่าให้ทำเสร็จเมื่อไหร่ แต่ผมเองก็ฟังท่านรับสั่งว่า “เขารอไม่ได้” ประโยคนี้ยังก้องและทำให้ผมระลึกถึงอยู่ตลอดเวลา อยู่จนถึงทุกวันนี้ คำว่า เขารอไม่ได้ คือ คนที่อยู่ในชนบท เขาไม่มีความพร้อม ไฟฟ้า ประปา อะไรก็ขาดแคลน อย่างนี้ เป็นต้น และในระหว่างที่ท่านกำลังพัฒนาชนบทอยู่นั้น คงจะจำได้ว่า สังคมไทยนั้น เราก็ถูกอำนาจหรือความเจริญที่เราเรียกว่า โลกาภิวัตน์ โถมถาเข้าใส่ เนื่องด้วยเป็นสังคมที่ดำรงชีพอยู่กับธรรมชาติ และส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่า เขาไม่มีความรู้ทางเทคโนโลยี แต่มีความเกรงอกเกรงใจ ตรงไปตรงมา และช่วยเหลือเกื้อกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอื้ออาทรต่อกัน ท่านคงคิดในใจว่า ขณะนี้เรามีการแข่งขันกันมากมาย บางครั้งก็ไร้กติกา แต่ว่าในขณะนั้น เราจะเห็นได้ว่า สังคมไทยนั้นถูกกัดกร่อนด้วยอิทธิพลต่างชาติที่เข้ามา บางอย่างก็ดี บางอย่างก็จะไม่ดี ก็ก่อให้เกิดปัญหาสังคมขึ้น และปัญหาในสังคมที่ว่านี้ก็มีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ คือ อันแรกเกิดการโจรทรัพย์ หรือสตางค์หาไม่พอใช้ อันที่ 2 จนปัญญา เพราะการศึกษานั้นเหลื่อมล้ำ และอันที่ 3 จนศีลธรรม จะเห็นว่าปัจจุบันศีลธรรม การอยู่ในครอบครัวนั้น แตกต่างไปเยอะ ผมอยู่ในอเมริกา ผมได้ไปหลายประเทศ ผมรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นภาพที่หลอกหลอนเราไปแล้ว เราต้องศึกษาอย่างแท้จริง ทั้งระดับสูงและระดับในสังคมทั่วไป ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ท่านทำยังไง ที่จะแก้ปัญหานี้

          บทที่สอง เราจะตามรอยพระบาทของพระองค์ท่านเพื่อดำรงตนให้อยู่อย่างมีความสุขในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ได้อย่างไร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระราชดำรัส เรื่อง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และตลอดยุคสมัยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ก็จะมีคำว่าทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นกรณีศึกษาของเศรษฐกิจพอเพียง หลายท่านมองแยกจากกัน แต่ที่จริงไม่ใช่ อันนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่จับต้องได้ เพียงแต่ปรัชญานั้นเป็นเรื่องของแนวคิด concept เป็นแนวปฏิบัติของสังคมไทยที่ท่านให้มา ช่วยให้คนไทยดำรงชีพอยู่ในสังคมโลกอย่างร่มเย็นเป็นสุข เราต้องมีความมั่นใจในตัวเราเอง เรื่องของเทคโนโลยีไม่ต้องห่วงหรอกครับ ในสมัยก่อนนั้น ผมไปช่วยทำดาวเทียมดวงแรกชื่ออินจันทร์ให้นาซา ตอนนี้ก็ยังล่องลอยอยู่ ก็ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้ 50 ปีมาแล้ว แสดงให้เห็นว่าเราได้พัฒนาหลายสิ่งหลายอย่าง เพียงแต่ปัจจุบันนี้เพิ่งนำมาใช้เท่านั้นเอง เช่น แบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า เทสลาร์ หลายคนบอกว่าใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ลิเธียม โพลิเมอร์ ที่จริงแล้วไม่ใช่ ผมถึงบอกว่า เราต้องมีความมั่นใจในตัวเรา ในสังคมของเรา

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ให้ข้อคิดแบบนี้ เพื่อต้องการให้คนไทยดำรงชีพอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ในเรื่องของทฤษฎีใหม่ มีคุณสมบัติที่สำคัญอยู่ 3 ประการ ที่เป็นข้อสำคัญคือ ความพอดี ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกัน สังเกตว่ามีเหตุผลอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีภูมิคุ้มกันด้วย ไม่งั้นเราจะถูกหลอกได้ง่ายในโลกแห่งการแข่งขันทุกวันนี้ นอกจาก 3 ห่วงนี้แล้ว ยังมีเงื่อนไขสำคัญอีก 2 ประการ สำหรับผมที่ได้วิเคราะห์มาแล้วและถือว่าเป็นความจำเป็น ที่ผู้บริหารทุกระดับจะต้องมีหลักธรรมาภิบาล มิฉะนั้นแล้วจะไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้

          สำหรับกรณีทฤษฎีใหม่ เพื่อใช้สำหรับประชาชนทั่วไปนั้น พระองค์ท่านได้บอกว่าให้แบ่งพื้นที่ดังนี้ สมมติเรามี 10 ส่วน ให้เป็นเรื่องแหล่งน้ำ 1 ส่วน (30%) ซึ่งประกอบด้วยการประมง พืชน้ำ การปลูกผักน้ำ ขุดสระกักเก็บน้ำ เป็นต้น อีก 3 ส่วน (30%) ให้เป็นเรื่องของพืชสมุนไพร อยู่บนบก ผลไม้ ไม้ประดับ สัตว์เลี้ยง ไม้ยืนต้น อีก 3 ส่วน (30%) ปลูกข้าว แล้วอีก 1 ส่วน (10%) สร้างที่อยู่อาศัย และ แต่การทำเช่นนี้ไม่ใช่กฎตายตัว ให้เป็นไปตามความเหมาะสม

          ด้านการดำรงชีพจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ปีหน้าผมก็อายุ 80 ปี แต่ผมก็ยังจะต้องอยู่ดูผลงานที่รัฐบาลให้ผมทำ เรื่องของการพัฒนาประเทศ คือ ยุทธศาสตร์ชาติ จนถึงปี 2575 ในเรื่องของพลังงาน และเรื่องของ IT ผมเองนั้นก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ที่ได้มีโอกาสทำงานสนองพระราชดำริ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จวบจนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2559 รวมเวลาแล้วก็ 46 ปี และบันทึกทั้งหลายที่ผมมีอยู่นั้น มีอยู่ประมาณ 10 กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมจะบันทึกทุกอย่าง ในโจทย์ที่ท่านให้ไว้คืออะไร รับสั่งเวลาอะไร ตี 3 ยังมีเลย มีทุกเวลา ทั้งแนวคิด และการแก้ปัญหาในขณะนั้น ผมมุ่งมั่น ทำงานให้สำเร็จตามพระราชปณิธาน ซึ่งได้มีพระราชดำรัส ตามปฐมพระบรมราชโองการ และในหลายโอกาสที่พระองค์ท่านได้พระราชทาน แนวพระราชดำรัส และพระราชดำริ เป็นการส่วนพระองค์ และได้มีการรวบรวมไว้เพื่อที่ผมจะยึด ปฏิบัติ และนำมาคิดกันด้วยเหตุผล ในที่สุดผมก็รวบรวมได้ 5 ข้อ เป็นรับสั่งที่พระองค์ท่านได้มีเมตตากับผม เป็นการรับสั่งส่วนพระองค์ ซึ่งผมได้นำมาปฏิบัติ และทำงานทั้งหลายสำเร็จได้ตามพระราชประสงค์ ขณะนี้ผมก็เป็นคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ และยังทำเรื่องกฎหมายอยู่อีกหลายฉบับ มันหลายอย่างนะครับ

          สิ่งที่ผมจะฝากท่านทั้งหลายคือ ไม่ว่าท่านจะจบสาขาใดก็ตาม อย่าขีดวงล้อมให้ตัวเองว่า เราต้องรู้แค่นี้ รู้เรื่องนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และหากท่านได้ฟังแนวพระราชดำริต่อจากนี้ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวฯ แล้ว ท่านก็จะทราบว่าคาถาของพ่อนั้นคืออะไร

          ข้อที่ 1 อย่าด่วนเอาข้อกังขา ข้อสงสัย หรือคำถามที่เรามีอยู่ในใจ มาตั้งเป็นโจทย์ อย่ารีบด่วนกับตรงนั้น เพราะคำว่าข้อกังขาทั้งหลายที่จริงแล้วมันคือ คำถาม ภาษาอังกฤษคือ Question แต่โจทย์นั้นคือ Problem Question ต้องการ Answer แต่ Problem ต้องการ Solution เพราะฉะนั้น โจทย์นี้จะประกอบด้วย ข้อกังขาหรือ Question หลาย ๆ Question มารวมกัน การทำงานให้สำเร็จท่านต้องทำอย่างนี้ จากข้อกังขา คำถาม ปัญหา และเป้าหมาย ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า เป็นคำถาม เป้าหมายเป็นยังไงก็เป็นคำถาม มันไม่ใช่โจทย์ ท่านนำมาบูรณาการ และตั้งเป็นโจทย์ นั่นประเด็นที่ 1 ต้องทำให้ได้ หรือถ้าไม่ได้ ท่านแก้ได้เหมือนกัน แต่ต้องสิ้นเปลืองในการใช้งบประมาณมากมายก่ายกอง ทำได้แก้ปัญหาตรงนี้ได้ แล้วไปโผล่ที่โน่นอีก บ้านเราได้เสียงบประมาณแผ่นดิน เยอะแยะมาก และนับวันงานการก็หายาก ในที่นอก ๆ ตามแต่ละตำบล ผมไปทางอีสาน มีแต่พ่อแก่ แม่เฒ่า แววตาของท่านเศร้าสร้อย เพราะลูกหลานไม่อยู่แล้ว ไปทำงาน เพราะฉะนั้น อันนี้แหละที่มันขาดเรื่องโจทย์ต่าง ๆ นะครับ

          ข้อที่ 2 อย่าทำงานคนเดียว เพราะถ้าทำงานคนเดียว จะเข้าข้างตัวเราคนเดียว เพราะฉะนั้น พระองค์ท่านจึงบอกว่า “ขอให้ร่วมมือกัน”

          ข้อที่ 3 ขอให้ทุ่มเททำงานอย่างมีวิกฤตยิ่งยวด เฉกเช่นพระมหาชนก ท่านคงจำเรื่องที่เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ว่า พระมหาชนกว่ายน้ำอยู่ในทะเลบนคลื่นผิวน้ำ ในทะเลมีคลื่น 2ชนิด คือคลื่นผิวน้ำ และคลื่นใต้น้ำ คลื่นใต้น้ำนั้นประโยชน์มหาศาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่งกับผมว่า “เมื่อเห็นสิ่งใด คิดสิ่งใดแล้ว อย่ามองเท่าที่เห็น และอย่าเห็นเท่าที่มอง” ขอให้ท่านจำประโยคนี้ไว้ แล้วท่านจะคิดอะไรได้อีกมาก ผมไปทำนาที่อุบลราชธานี ซึ่งเป็นดินแดนที่แห้งแล้งที่สุด ก็ด้วยประโยคนี้ เพราะนาของผมที่อยู่ที่อุบลราชธานี ผมไม่มีที่นาหรอกครับ ผมก็ได้รับพระเมตตายืมที่นาจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์ และทำนา 6 ไร่ ลูกศิษย์ลูกหาบอกอาจารย์ทำไมไปทำนา ผมบอกอยู่อเมริกาทำนาซา อยู่เมืองไทยห้ามซ่า ซ่าไม่ได้ ต้องระมัดระวังหน่อย ในที่สุดก็ทำ นาของผม ยกตัวอย่างสั้น ๆ ว่า เราได้เก็บข้าวจากที่นา 1 ไร่ ได้มะลิพันธุ์ กข. 105 เราทำได้ 120 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปได้ประมาณ 40 กิโลกรัม แล้วเขาทำได้แต่นาปี ของผมทำนาปรังก็ได้

          ขณะนี้ผมได้ออกแบบโดรนทำนา เราก็พบว่า การทำนาดำ ใช้เวลา 5 นาทีก็เสร็จ โดยท่านไม่ต้องลงนาเลย และไม่ต้องไปมองหาที่ไหน ท่านต้องคิดก่อน ไม่ใช่ว่าไปค้นโน้น ค้นนี้ก่อน เพราะงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่น สุธี2 ใช้เวลา 14 วัน 14 คืน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมไม่ได้ทานข้าวเลยในชีวิต 14 วันและเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้นอน 14 วัน จนกระทั่งอีมูล หมายความว่ามีภูมิคุ้มกัน ทุกวันนี้นอนก็ได้ ไม่นอนก็ได้

          คาถาข้อที่ 4 พระองค์ท่านบอกว่าให้ติดตามงานจนสำเร็จ ไม่ใช่จนเสร็จ ทุกวันนี้การวัดผลงาน บางครั้งเราวัดว่าเราใช้งบประมาณหมดไหม ไม่ใช่เราต้องรีวิวตลอดเวลา อย่างโครงการของนาซาก็ดี หรือที่ผมไปวิจัย ซึ่งไม่มีคนไทยได้ไป เพราะว่าที่นั่นจะได้ไปด้วยการเชิญเท่านั้น คือ สถาบันวิจัยเทอร์โมนิวเคลียร์ของ โอ๊คลิช นั่นคือ เรากำลังจะสร้างดวงอาทิตย์บนพื้นโลก ในน้ำทะเล เรามีเชื้อเพลิงตัวนี้อยู่ ท่านรักษาให้ดี ๆ อย่าให้น้ำทะเลมันเหือดแห้ง ในน้ำทะเลของเรา ทะเลไทย ถ้าท่านตักมา 1 ลิตร ก็ 1000 ซีซี ท่านสามารถสกัดเชื้อเพลิงเทอร์โมนิวเคลียร์ได้ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร จาก 1000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ท่านได้ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร จะให้พลังงานกับท่าน เท่ากับท่านเผาถ่านหิน 1 ตัน เพราะฉะนั้น พยายามอย่าให้มันแห้ง ที่ผมพูดนี้ไม่ใช่ผมพูดลอย ๆ ผมทำวิจัยอยู่ ผมสารภาพทำอยู่ แต่ผมจะยังไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

          อยากให้เห็นว่า เรามีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือ ทรัพยากรเรื่องอาหารก็ดี ปลาก็ดี อะไรต่าง ๆ เรื่องปลาก็ไม่ต้องห่วง เพราะสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ท่านได้ให้โจทย์ผมมาว่า ขอให้ผมได้นำเอาสัตว์ทะเลทุกชนิดไปเลี้ยงที่ภาคอีสาน ซึ่งไม่มีทะเล ตอนนี้ทำเสร็จแล้ว ใช้เวลา 51 วัน ในการคิด ตอนนี้เราสามารถเลี้ยงปลาทูแม่กลอง ที่ภาคอีสานได้ นักวิชาการบางท่านก็มองผิวเผิน ถ้าไปเลี้ยงที่โน่น ต้องเอาเกลือสินเทา ไม่ได้เลย มันจะตายภายใน 20 นาที หรือบางคนบอกว่า มันจะไปยากอะไร ก็เอาเกลือทะเลไปละลายน้ำ เป็นน้ำทะเล ก็ไม่ได้อีก เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องทำคือเอาน้ำทะเลมา และให้มันระเหยออกไป เหลือแต่ไอน้ำ ผมก็ยังมีจิตวิญญาณครูบาอาจารย์ผมไม่หวงวิชา เพราะยังไงก็ยังต้องเดินหน้าต่อไปอีก ท่านเอาแต่น้ำ เหมือนกาแฟมี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นชนิดผง ชนิดหนึ่งเป็นกาแฟ deep feeds ท่านทำให้ กาแฟ deep feeds อร่อยกว่า กาแฟผง นี้ก็เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นสลับกัน คนที่ชอบในเรื่องของการเสริมสวย ผมบอกให้เลยว่า ขณะนี้ที่ผมไปขุดแก้มลิงที่ศรีษะเกษนั้น เราก็พบว่า ดินที่นั้นเป็นดินภูเขาไฟ นักวิชาการก็ค้านผมว่า อาจารย์ไปรู้ได้ไง ว่าเป็นดินภูเขาไฟ รู้สิ ถ้าภาคอีสานมีไดโนเสาร์ ไดโนเสาร์มันเกิดในยุคภูเขาไฟ นอกจากนั้น ดินที่ออกมา เอามาทำ masking เรื่องอะไร เราจะเอามาจากเมืองนอก เรามีของดีอยู่ข้างใน ผมอยากจะฝาก พระเจ้าอยู่หัวท่านจึงรับสั่งว่า “ประเทศไทยเรานี้ดี เพราะมีทรัพยากรของทุกชนิด เพียงแต่เราละเลย ไม่เคยจะไปขุดค้นมัน” ดินภูเขาไฟที่ภาคอีสานนั้น ไปขายคิวละ 200 กว่า ขณะที่ผมขุดแก้มลิงที่ศรีสะเกษ ก็พบว่า ที่จริงแล้วดินชนิดนี้สามารถทำ masking ใบหน้า ผมเห็นโฆษณาตามศูนย์การค้า ครั้งละ 2,000 บาท นิดเดียวใช้ดินนิดเดียว เวลาท่านไปขายถมถนน ท่านขาย 200 บาท ก็ฝากไว้เผื่อใครไปทำแล้วรวย ขอมาเห็นหน้าบ้าง

          ข้อที่ 5 พระองค์ท่านรับสั่งว่า “การทำการสิ่งใด ให้นึกถึง ประโยชน์ของสังคมและส่วนรวม อย่าคิดแต่เรื่องประยุกต์ แล้วเอาแต่ประโยชน์ให้ตัวเราเอง” เพราะฉะนั้นการคิดแต่ตัวเราเอง ในที่สุดสังคมก็อยู่ไม่ได้ 20 รายการที่ผมทำงาน เป็นโครงการสนองในพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 คือสร้างงานในตำบล 20 รายการ สิ่งที่ทำไปแล้วคือ สร้างโรงไฟฟ้าประจำตำบล ที่ Thai make ทั้งหมด ไม่ใช่เพราะชาตินิยม แต่ให้เห็นว่าคนไทยก็ทำได้ ถ้าเราร่วมกัน และผมจะไม่เผาขยะ แต่ใช้วิธีหมัก ไม่ต้องแยกขยะ แต่ผมใช้หญ้าเนเปียร์ อันนี้ทำอยู่ที่อำเภอสว่างวีรวงศ์ เรื่องข้าวนั่นก็เป็นหนึ่งใน 20 รายการ ก็ทำอยู่ในเขื่อนแก้มลิงที่ศรีสะเกษ อย่างนี้เป็นต้น ถามว่า ใครมาจ้างผม ไม่มีหรอกครับ แต่ถ้าผมทำตรงนี้ได้ ก็เท่ากับจ้างงานให้ลูกศิษย์ ไม่ต้องดิ้นรนไปที่ไหน แล้วเรายังต้องขยายไปที่ AEC 10 ประเทศได้อีกด้วย โรงไฟฟ้าเนเปียร์ กัมพูชาต้องการซื้อไป 10 โรง โรงละ 150 ล้าน แล้วผมทำไม่ได้ เพราะเราขาดนักรบ ผมอยากจะวิงวอนให้ท่านทั้งหลายรู้ แล้วทำได้จริง ไม่ใช่รู้แล้วพูดเป็น ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่งั้นเราอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในข้อสุดท้ายพระองค์ท่านถึงได้ย้ำว่า ขอให้เราได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างแท้จริง

          สุดท้ายเรื่องของปัจฉิมบท ผมขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายอาลัย ในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินไทยและปวงชนชาวไทยทั้งมวล พระองค์ท่านได้เสียสละและทุ่มเทพระวรกาย เพื่อยกฐานะประชาชนทุกหมู่เหล่าให้ร่มเย็นเป็นสุข มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังเช่นเมื่อตอนช่วงน้ำท่วมเล็กน้อย พระองค์ท่านได้รับสั่งที่ศาลาดุสิตาลัย ซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย ท่านรับสั่งว่า “การเป็นเสือไม่สำคัญ สำคัญว่าให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงทุ่มเท เสียสละ ทำงานหนัก ด้วย พระปรีชาสามารถ พระอัจฉริยะภาพที่ยอดเยี่ยม ทรงแก้ปัญหาต่าง ๆ ของสังคมและของชาติด้วยความละมุนละม่อม มีเมตตาธรรม ตลอดจนทรงได้ปฏิบัติภารกิจอย่างสมบูรณ์ที่สุด สมอย่างพระปฐมพระบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

          ผมและประชาชนทุกหมู่เหล่าจะระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และจดจำพระนาม “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศ รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราส บรมนาถบพิตร” พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคนี้ตลอดไปชั่วกาลนาน และสุดท้ายผมขอฝากบทกลอนที่ได้เขียนไว้ เพื่อปฏิญาณตนและมุ่งมั่นที่จะทำความดีเพื่อพระองค์ท่านและชาติไทยสืบไป


“ขอน้อมกราบพระบาทบรมนาถบพิตร ตั้งดวงจิตปฏิญาณเพื่อสานฝัน
จะตามรอยมหาราชจอมราชันย์ เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงไทยให้ยืนยง”

หวังว่าบัณฑิตทั้งหลายจะยึดสิ่งนี้เพื่อสร้างสังคมให้เราน่าอยู่และสามัคคีกัน

  

รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์ 
วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

  

Back