คำกล่าวสุนทรพจน์ของผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

พิธีประสาทปริญญาบัตร รุ่นที่ ๑๙ และรุ่นที่ ๒๐ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๐ - ๒๕๖๑
ณ อาคารศูนย์กีฬาและกิจการนักศึกษา

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์

ปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์ ประเภทวิชาการ

          เรียน ท่านนายกสภามหาวิทยาลัยหาดใหญ่ กรรมการสภามหาวิทยาลัย คณาจารย์ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รวมทั้งผู้ที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิตทุกท่าน

          ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ได้เสนอชื่อผมให้เข้ารับปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ด้านวิชาการ และขอแสดงความยินดีร่วมกับพวกท่านด้วย การที่มหาวิทยาลัยให้ผมมาแสดงสุนทรพจน์คนแรกในช่วง COVID-19 ซึ่งหลายท่านก็ปิดปากกันหมด ผมเข้าใจว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 19 และรุ่นที่ 20 และสอดคล้องกับ COVID-19 ผมมีความรู้สึกตื่นเต้นมากแม้ว่าผมจะเป็นคนกล่าวปฐมนิเทศ ปัจฉิมนิเทศ มา 30 กว่าปี แต่ว่าวันนี้มีคนฟังมากกว่าทุกครั้ง หลายท่านคงไม่ทราบว่าผมซึ่งมายืนให้สุนทรพจน์แก่ท่านเป็นคนอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นคนภาคใต้เช่นเดียวกัน ผมเป็นเด็กบ้านนอกที่ได้เรียนหนังสือแล้วก็เข้ามาเรียนที่กรุงเทพมหานคร ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความผิดหวัง และความสมหวัง ความสำเร็จในหน้าที่การงานวันนี้ไม่ได้เกิดจากดวงหรือโชคช่วย แต่เกิดจากความตั้งใจหาความรู้ ทำงานหนัก อดทนกับความผิดหวัง มีความรักในหน้าที่การงาน พร้อมที่จะใช้โอกาสเหล่านี้สร้างอนาคต และความสำเร็จที่ว่านี้

          ปัจจุบันผมทำงานเป็นประธานกรรมการที่ เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ซึ่งหลายท่านคงนึกว่าเป็นที่ขายขนมปัง เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ เป็นสำนักงานกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีทนาย 250 คน พนักงาน 250 คน รวม 500 คน การเป็นประธานสำนักงานกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือตำแหน่งอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมทำ ความจริงแล้วไม่ใช่แค่วัดความสำเร็จ และไม่ควรจะเป็นแค่ความสำเร็จ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นหัวโขนอย่างที่เขากล่าวว่า “มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญมีนินทา” สิ่งที่ควรจะวัดความสำเร็จของเราและของผมก็คือ เราได้ทำอะไรให้กับส่วนรวมบ้าง ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพครับ ประสบการณ์ของผมกว่า 40 ปี ผมเชื่อว่าวันนี้ผมอาจจะพูดยาวไปหน่อย หวังว่าท่านจะได้นำความรู้หรือแนวคิดของผมไปคิดวิเคราะห์ในการดำรงชีวิตของท่าน อนาคตของท่านจะต้องได้เจอกับสิ่งที่เรียกว่า Disruption หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อย่างใหญ่หลวงทั้งที่ดีและร้าย ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ตลอดจนปัญหาโรคระบาดที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง หวังว่าข้อคิด 10 ประการที่ผมจะให้ท่านในวันนี้ จะเป็นสิ่งที่ท่านนำไปคิด วางแผน และสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิตท่านอยู่รอด

          ข้อที่ 1 ท่านจงเป็นนักอ่านเพื่อพัฒนาความรู้ ผู้ที่ใฝ่ความรู้เท่านั้นที่จะอยู่รอดและอยู่ในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ท่านจะต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา การสร้างความรู้นั้นผมมีหนังสือแนะนำที่สำคัญยิ่ง ซึ่งผมแนะนำให้หลายคนอ่านและก็เปลี่ยนชีวิต คือ ปัญญาวิชาชีวิต ซึ่งภาษาอังกฤษ เรียกว่า How Will You Measure Your Life โดย Mr. Clayton M. Christensen Professor มหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตลง หนังสือเล่มนี้แปลโดย คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ประเด็นที่ผมนำมาพูดวันนี้เป็นส่วนหนึ่งจากหนังสือเล่มนี้ แนวคิดสำคัญในหนังสือเล่มนี้กล่าวไว้ว่า การหยุดตัวเองไว้ที่ความรู้เก่า ประสบการณ์เก่า โดยไม่แสวงหาความรู้ใหม่ ประสบการณ์ใหม่ เป็นหนทางอันเรียบง่ายที่จะเดินเข้าสู่หายนะในเบื้องหน้า ความที่ผมเป็นนักอ่านตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ การที่ผมก้าวมาถึงจุดนี้ได้ผมต้องบอกว่า เพราะการอ่านของผมนี่เองที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ ปัจจุบันผมยังต้องอ่านอยู่ เพราะฉะนั้นพวกท่านกรุณาใช้เวลากับการอ่านแทนที่จะส่ง Line เฉย ๆ โดยเข้าไปใน Google ต่าง ๆ นานา เพื่อหาความรู้ได้ตลอดชีวิต แต่อย่าเชื่อ Fake News นะครับ

          ข้อที่ 2 ท่านจะต้องรักในงานที่ทำ หรือว่า Passion และทำงานให้ดีที่สุด การที่เราได้รับมอบหมายในงานใด เราจะต้องทำให้ดีที่สุดและทำเต็มสติกำลัง อีกข้อก็เกิดจากการที่ผมค้นหาตัวตนเจอเมื่อเรียนกฎหมายว่า นี่คืออาชีพของเรา นี่คืองานของเรา เพราะฉะนั้นท่านจะต้องรีบค้นหาตัวตนและหาความรักในวิชาชีพให้เร็วที่สุด Steve Jobs ได้กล่าวไว้ว่า “หนทางหนึ่งเดียวสู่ความสุขใจจริง คือได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่ายิ่งใหญ่ หนทางหนึ่งเดียวสู่การสร้างงานยิ่งใหญ่ คือความรักปักใจในงานนั้น” ถ้ายังไม่พบจงค้นต่อไปอย่าถอดใจ คุณจะได้รู้หมดจิตหมดใจเมื่อคุณได้พบมัน

          ข้อที่ 3 จงอย่ายอมแพ้และท้อถอย ทุกคนต้องประสบความผิดหวัง ความไม่สมหวัง เมื่อท้อแท้หรือท้อถอย ต้องอดทนแก้ไขอย่างมีสติ ชีวิตผมผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านผิดหวังทั้งการสอบ การทำงาน ผมอาจจะท้อแท้แต่ผมไม่เคยท้อถอย ในโลกนี้พวกท่านจะต้องเจอความผิดหวังแน่นอน อยู่ที่ว่าท่านจะรับมันได้แค่ไหน Winston Churchill เคยกล่าวไว้ในนักเรียน Harrow ตอนสงครามโลกว่า “จงอย่ายอมแพ้ อย่ายอมแพ้ อย่ายอม อย่ายอม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องเล็กน้อย เรื่องใหญ่หรือเรื่องขี้ผง อย่ายอมแพ้ ยกเว้นต่อสำนึกในศักดิ์ศรีและความรับผิดชอบชั่วดี”

          ข้อที่ 4 กำหนดเป้าหมายในชีวิตและวัดความสำเร็จของชีวิต การวัดความสำเร็จของชีวิตไม่ใช่วัดด้วยชื่อเสียง อำนาจ และเงินทอง แต่ควรวัดว่าเราได้ทำหน้าที่ดีที่สุดและทำอะไรเพื่อส่วนรวม การกำหนดเป้าหมายในชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าเราไม่กำหนดเป้าหมายเราจะไม่สามารถก้าวไปถึงความสำเร็จได้

          ข้อที่ 5 จงเป็นผู้รู้จักการให้ การให้สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องให้ในวันนี้ การให้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้เงินทอง แต่อาจให้ความคิด เริ่มให้แต่วันนี้ ยิ่งท่านให้มากเท่าใด ท่านจะยิ่งได้รับผลตอบแทนมากกว่านั้นเป็นเท่าทวีคูณ การให้ควรให้ด้วยใจอย่างแท้จริง

          ข้อที่ 6 จงแก้ปัญหาด้วยสติและความรู้ อาชีพนักกฎหมายของผมต้องแก้ปัญหาเสมอ แต่ถ้าไม่มีความรู้ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ ทุกคนควรร่วมคิดและตระหนักว่าเราจะแก้ปัญหาในสังคมในบ้านเมืองเราได้อย่างไร เราจะช่วย 3 จังหวัดภาคใต้ของเราให้หลุดพ้นกับดักได้อย่างไร ทั้งนี้เพราะท่านเป็นคนท้องถิ่นการช่วยกันคิดร่วมแก้ปัญหาจึงควรถือเป็นหน้าที่

          ข้อที่ 7 จงยึดหลักการที่ถูกต้อง มีคนกล่าวบอกว่า “การรักษาความดี 100 ครั้ง ง่ายกว่าการรักษาความดี 99 ครั้ง” หมายความว่าอย่างไร เราต้องยึดหลักการและไม่มีข้อยกเว้นในสิ่งที่ไม่ชอบไม่ควร อย่าบอกว่าแค่นี้ ครั้งเดียวเอง มีข้อยกเว้น เพราะถ้าท่านเริ่มทำผิดครั้งเดียว ความผิดครั้งที่สองที่สามก็จะตามมา เราเห็นหลายคนต้องเข้าไปอยู่ในคุก ถูกลงโทษจากสังคม เพราะฉะนั้นขอให้ยึดความถูกต้องไว้

          ข้อที่ 8 จงเป็นบัณฑิตที่มีคุณธรรม ถ้าไม่มีคุณธรรม ไม่มีความกตัญญู คงยากที่จะอยู่ในสังคม ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของความดี ความสำเร็จของท่านที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากท่านคนเดียว แต่เกิดจากกัลยาณมิตร พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และเพื่อน ๆ เพราะฉะนั้นท่านจะต้องตอบแทนและคิดถึงบุคคลเหล่านี้ ในเวลาอันควร

          ข้อที่ 9 จงแสวงหาความสุขที่ถูกต้อง ความสุขที่ถูกต้องไม่ได้หมายความถึงการมีอำนาจ ไม่ได้หมายถึงความร่ำรวย ไม่ได้หมายถึงความมีชื่อเสียง ความสุขที่ถูกต้องก็คือ รักในงาน รักครอบครัว เราใช้เวลากับคนอื่นเยอะมาก เราใช้เวลากับครอบครัวเราบ้างหรือไม่ พอใจในสิ่งที่เราทำ หาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่ามัวใช้เวลาเล่น Line กันอย่างเดียว

          ข้อคิดข้อสุดท้ายก็คือ ให้รู้จักวางแผนการเงินและการลงทุน เนื่องจากสังคมไทยเราจะมีสังคมคนสูงวัย หนี้ครัวเรือนมากมาย คนหนุ่มคนสาวจะสร้างฐานะอย่างไรถ้าไม่รู้จักวางแผนการเงิน อย่าก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น สิ่งเหล่านี้เราจะต้องประหยัด คิดก่อนใช้ และหาวิธีลงทุนให้งอกเงย

          วันนี้ท่านลองกลับไปทำ Checklist ดูว่า 10 ข้อที่ผมกล่าวมานี้เป็นประโยชน์กับท่านหรือไม่ สำหรับหลายท่านที่อาจจำ 10 ข้อที่พูดไปนี้ไม่ได้ ผมก็จะสรุปให้เป็น 3 ข้อใหญ่ ๆ ดังนี้ครับ

          ข้อที่ 1 ความรู้ สำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน ผมพูดไปแล้วว่าการหาความรู้ ท่านจะต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา การจบมหาวิทยาลัยวันนี้มันแค่เป็นใบปริญญา ที่เขาบอกว่า “ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว” วิทยากร เชียงกูล ซึ่งผมอ่านตั้งแต่ผมเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย ปีที่ 1 เพราะใบปริญญาเป็นเพียงใบเบิกทาง และท่านต้องพัฒนาตัวเองต่อไป

          ข้อที่ 2 ความดี สำคัญมาก ถ้าท่านดูหนังเรื่อง Parasite ที่ได้รางวัล มีคำหนึ่งที่ผมดูและผมติดใจมาก นั่นคือ เราจะต้องเป็นคนรวยก่อนถึงทำความดี หรือเราเป็นคนดีเพราะเรารวย ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งสิ้น การทำความดีไม่ต้องรอ เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ คิดดูว่าวันนี้เราทำความดีให้กับคนใกล้ชิดเราบ้างหรือยัง เพราะฉะนั้นทำสิ่งที่ดีงามให้สังคม ให้ครอบครัว และส่วนรวม

          ข้อสุดท้าย ความสุข ทุกคนอยากมีความสุข ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย อำนาจ ไม่ใช่ความสุข ความสุขคือ ความสุขกับการทำงาน ความสุขกับครอบครัว ความสุขที่เรียบง่ายเหมาะสมพอเพียงกับตัวเราและครอบครัว

          ถ้าเรามีหลัก 3 ข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความดี และความสุข ผมเชื่อว่าจะเป็นแนวทางให้ท่านไม่มากก็น้อย

          สุดท้ายนี้ผมขออำนวยพรให้บัณฑิตทุกท่าน ได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน พร้อมที่จะไปเผชิญความจริงในโลก ที่จะมีการแข่งขัน ที่จะมีความผิดหวังอย่างรุนแรง ได้อย่างเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และไม่ยอมแพ้

  

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2563
    

  

Back