คำกล่าวสุนทรพจน์ของผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

พิธีประสาทปริญญาบัตร รุ่นที่ ๒๑ - ๒๓ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๒ - ๒๕๖๔
ณ อาคารศูนย์กีฬาและกิจการนักศึกษา

อาจารย์ลักขณา ดิษยะศริน

ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
ประเภททั่วไป ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓

          ท่านนายกสภามหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ อาจารย์ประณีต ดิษยะศริน กรรมการบริหารมหาวิทยาลัย คณาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิตและบัณฑิตทุกท่าน วันนี้แทนที่จะกล่าวคำว่า ดิฉัน ขอกล่าวคำว่า อาจารย์ เพราะว่าพวกเราเป็นอาจารย์กันตั้งแต่จำความได้จนถึงบัดนี้ อาจารย์มีความรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษของอาจารย์จริง ๆ เพราะว่าการศึกษาไม่ใช่ทุกคนจะได้รับปริญญาเอก มันอยู่ที่ธรรมชาติของคนคนนั้นว่าเก่งแค่ไหน มีประสบการณ์แค่ไหน แต่วันนี้เป็นวันที่อาจารย์ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ รู้สึกเป็นเกียรติ รู้สึกซาบซึ้ง และรู้สึกดีใจมาก ที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ คำว่าอันทรงเกียรตินี้หมายความว่ามหาวิทยาลัยหาดใหญ่นั้น ไม่เคยมีเรื่องที่มีปัญหากับสังคม มีแต่ผลิตนักศึกษาที่มีความสามารถ เป็นคนดี ทำประโยชน์ให้กับมหาวิทยาลัย ทำประโยชน์ให้กับภาคใต้เรา และทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ

          อาจารย์ขอเล่าประวัติของนามสกุล ดิษยะศริน เป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 คุณปู่เป็นพระสหายของรัชกาลที่ 6 ในขณะนั้น ประมาณปี 1909 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่าประเทศไทยไม่มีโรงเรียนที่สอนเนติบัณฑิต ก็เลยได้พระราชทานสถาบันเนติบัณฑิต และเป็นสถาบันแห่งแรกของประเทศไทย คุณปู่ซึ่งเป็นพระสหายใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน อยู่ในพระราชวังตลอด มีอะไรท่านก็รับใช้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตลอด ท่านจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นนักเรียนรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยสถาบันเนติบัณฑิต หลังจากที่จบการศึกษาแล้วท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นรองอำมาตย์ตรี ในช่วงนั้น จบการศึกษาเป็นนักศึกษารุ่นแรกของเนติบัณฑิต ซึ่งมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ก็มีชื่อเสียงมากในเรื่องของนิติศาสตรบัณฑิต หลังจากที่คุณปู่ได้รับคำสั่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เมื่อท่านเรียนจบปีที่ 4 แล้วท่านมีความประสงค์ที่จะให้คุณปู่นั้นไปรับราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ คุณปู่นั้นได้ไปรับราชการ 6 จังหวัด ปทุมธานี กรุงเทพฯ เชียงใหม่ แล้วอีกหลายจังหวัดจนมาถึงหาดใหญ่ คุณปู่ก็ได้เกษียณอายุที่นี่ แล้วท่านคิดว่าหาดใหญ่นี้เป็นเมืองที่มีความสวยงามมีธรรมชาติที่ดี เป็นศูนย์กลางของการคมนาคม ทำไมไม่มีโรงเรียน ท่านจึงได้ให้มีโรงเรียนเอกชนเป็นโรงเรียนแรก ก่อนจะมีโรงเรียนรัฐบาลด้วยซ้ำ พ่อค้าแม่ขายเป็นคนที่มีความฉลาดมาก แม้ไม่ได้เรียนหนังสือแต่ก็รวยได้ หลังจากนั้นคุณปู่ก็ตั้งโรงเรียนขึ้นมาเพราะหาดใหญ่เป็นเมืองเล็ก ๆ แล้วคนก็คิดว่าหาดใหญ่เป็นจังหวัด หาดใหญ่นี้มีเสน่ห์มาก คุณพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่ท่านก็ชอบหาดใหญ่ เวลาอาจารย์กลับมาหาดใหญ่ทุกครั้ง คุณพ่อก็มีความปลื้มใจที่จะโชว์ว่าหาดใหญ่นั้นเจริญขึ้นอีกแล้ว มีตึกอีกแล้ว ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ แท้ ๆ แต่ชอบอำเภอหาดใหญ่ เพราะว่าอากาศดี คนดี คนฉลาด คนทำมาหากิน ไม่มีโจรผู้ร้าย หลังจากที่คุณพ่อเกษียณอายุ คุณพ่อก็ได้เปิดโรงเรียนขึ้นมาอีกโรงเรียนหนึ่งชื่อว่าโรงเรียนหาดใหญ่อำนวยวิทย์ แต่ย้อนกลับไปในสมัยของคุณปู่ค่าเล่าเรียนแทบไม่ต้องเก็บเลย เพราะอยากจะให้ผู้คนในหาดใหญ่นี้มีการศึกษาจะได้ต่อยอดเรื่องการค้า แต่ทราบไหมว่าในประวัติของหาดใหญ่นี้ รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านเสด็จอินเดีย และพระองค์เสด็จที่หาดใหญ่ ท่านตรัสว่า หาดใหญ่นี้เป็นเมืองที่มีความสวยงาม มีคนขยันหมั่นเพียร แต่ไม่มีการศึกษา ท่านคิดว่าท่านจะต้องพัฒนาหาดใหญ่นี้ให้เจริญ ท่านตรัสกับรัฐบาลว่า ขอให้หาดใหญ่เป็นเมืองการเงิน การค้า การคมนาคม เพราะมีภูมิประเทศติดกับมาเลเซีย ติดกับสิงคโปร์ ติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีเงิน แล้วก็อยู่ใกล้กับสตูล นราธิวาส ต้องให้หาดใหญ่เป็นเมืองหลักของประเทศไทย จากนั้นแล้วรัฐบาลก็ส่งเสริมหาดใหญ่ นี่แหละคือเหตุผลที่หาดใหญ่มีเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 หรืออันดับ 3 ของประเทศไทยตลอดเวลา เพราะคนหาดใหญ่ขยันและอดทน และท่านได้ตรัสว่าเมืองหาดใหญ่ต้องเป็นเมืองการค้า การเงิน และการคมนาคมนี้ทำให้ผู้คนเข้ามาหาดใหญ่ ในที่สุดท่านได้เชิญ มาเลเซีย สิงคโปร์ คนจีนซึ่งมาจากเกาะไหหลำ เกาะไหหลำเป็นเกาะที่ทำอาหารได้อร่อยมาก อาจารย์ได้ทำ Research แม้กระทั่งมีเรือสินค้าพ่อค้าแม่ค้าเหมือนตลาดน้ำอยู่ที่คลองอู่ตะเภา มากันเต็มคลอง เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เชิญมา หลังจากนั้นแล้วบางคนก็อยู่ชั่วคราว บางคนก็อยู่ถาวร หาดใหญ่มีคนมุสลิม มีคนจีน มีคนหลายชาติเข้ามาอยู่ในหาดใหญ่ แม้กระทั่งคนอินเดีย แล้วพวกเราก็อยู่อย่างสงบสุขไม่เคยมีปัญหาเรื่องสังคมเลย แม้กระทั่งปัจจุบัน ก็มีความรู้สึกว่าเราเป็นชาติเดียวกัน มหาวิทยาลัยหาดใหญ่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย ที่เราไม่ต้องมารบราฆ่าฟันกัน แต่เราเชื่อมด้วยการศึกษา

          ตอนนี้กลับมาในสมัยคุณพ่อ ในเมื่อคุณปู่นั้นอายุมากแล้วท่านก็กลับกรุงเทพ ฯ คุณพ่อก็เลยเปิดโรงเรียนแทนเพราะว่าไม่มีโรงเรียนไม่ได้ แล้วก็ค่าเล่าเรียน เทอมละ 200 บาท ปีละ 400 บาทเท่านั้นเพราะอยากให้แม้กระทั่งคนรวยและคนจนได้มีการศึกษา เพราะการศึกษาเท่านั้นที่จะทำให้คนนั้นได้ขยับฐานะขึ้นไป แล้วมีความคิดในเรื่องของการทำมาค้าขาย

          พอมีโควิดมาอาจารย์สงสารคนหาดใหญ่มาก ก็ได้เอาสิ่งของมาช่วยเหลือและสอนให้ทำอาหาร แล้วนักข่าวก็มาพูดว่าหาดใหญ่ตายแล้ว อาจารย์ก็ไปทำ Research อีก ทำยังไงถึงจะช่วยหาดใหญ่ให้ฟื้นตัว แต่ไม่ต้องเพราะคนหาดใหญ่เนี่ยได้รับอิทธิพลจากรัชกาลที่ 5 แล้ว ที่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ คนหาดใหญ่มาจากจีน มาจากมาเลเซีย คนพวกนี้เป็นพ่อค้าหมดเลยเพราะฉะนั้นพวกเราที่นั่งอยู่เนี่ยอาจจะเป็นลูกหลานของคนสมัยนั้นก็ได้ แม้กระทั่งตัวอาจารย์เอง เพราะฉะนั้นคนหาดใหญ่ก็สามารถที่จะพลิกสถานการณ์โดยที่รัฐบาลไม่ต้องช่วย ยังถามอาจารย์ประณีตว่าอยากจะช่วยมาก คราวนี้จะมาพูดเรื่องนี้จะทำไงให้หาดใหญ่เจริญ แต่มันผิดวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย เราก็เลยต้องกลับไปพูดการศึกษา แต่ในสายเลือดของการศึกษา คุณพ่อประดิษฐ์ทำหน้าที่ให้กับสังคม อาจารย์ประณีตทำงานควบคู่ไปกับคุณพ่ออาจารย์ประณีตอายุแค่ 20 ปี ทำงานเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนหาดใหญ่อำนวยวิทย์มาเป็นเวลา 50 กว่าปี แต่ในขณะเดียวกัน เนื่องจากความสามารถของอาจารย์ก็มีความคิดที่อยากจะให้โรงเรียนเจริญขึ้นไปถึงระดับมหาวิทยาลัย ก็เลยเปิดโรงเรียน แต่ด้วยความมานะ อดทน ลำบาก ที่ได้เห็นอาจารย์ทำงานหนักทุกวัน เพราะฉะนั้นก็ได้มีโรงเรียนพาณิชย์ ปวช. ปวส. และมหาวิทยาลัย นักศึกษาควรจะภูมิใจที่เราทำงานมาด้วยความลำบากไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ต้องทำงานเลย สิ่งเดียวที่นักศึกษาต้องเป็นข้อคิดในเรื่องนี้ ถ้าต้องการความสำเร็จแล้วเราต้องทำงาน ต้องพยายาม ขยัน อดทน อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดี อาจารย์ประณีตเหนื่อยจริง ๆ

          ต่อมาอาจารย์ลักขณาก็เหนื่อยเช่นกันแต่อาจจะไม่เท่ากับอาจารย์ประณีต เพราะว่าเป็นน้องคนสุดท้อง มีบุตร 5 คน เราก็ได้ไปศึกษาต่างประเทศ ไปเรียนที่อเมริกา อาจารย์เป็นคนหาดใหญ่โดยกำเนิด แต่พออายุเข้า ม.1 ก็ไปเรียนกรุงเทพ ฯ แล้วก็ไปอเมริกา 11 ปี พอจากเมืองจากบ้านไปแล้วก็คิดถึง บ้านเราขาดอะไรบ้าง ขาดโรงเรียน ขาดโรงเรียนนานาชาติ เพราะในสมัยนั้นเมื่อปี 1983 ไม่มีโรงเรียนนานาชาติ มีให้กับพวกนักการทูตเท่านั้น กับพวกนักธุรกิจ แต่ไม่มีให้กับคนไทย คนไทยไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ เรารู้ว่าภาษาอังกฤษ เป็น International language ทุกประเทศต้องพูดภาษาอังกฤษ ถ้าพูดไม่ได้ก็เหมือนคนใบ้ ตอนไปอยู่อเมริกาพูดภาษาอังกฤษได้เร็วมากเพราะว่าเราไปพูดกับเพื่อน เพื่อนไม่รู้เรื่อง เลยต้องฝึกภาษาอังกฤษให้เร็ว แล้วก็พูดภาษาอังกฤษกับเพื่อน พอกลับมาเมืองไทยก็เปิดโรงเรียน เป็นโรงเรียนแรกชื่อว่าโรงเรียน Didyasarin International kindergarten ในเวลานั้นคนก็ไม่เข้าใจว่าเปิดโรงเรียน เปิดมาได้ยังไง เพราะว่าคนอื่นเขาไม่ได้เปิด เราก็คิดว่าเราทำดีแล้วให้กับสังคม ใครจะว่าอะไรก็แล้วแต่เราก็เปิด แต่อาจารย์มีความเป็นมนุษยสัมพันธ์ สามารถพูดกับคนงานให้หัวเราะกับเรา กินข้าวคนงาน กินข้าวกับรัฐมนตรี หรือจับมือกับประธานาธิบดีมาหลายคนแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันสร้างความเชื่อมั่น พอมาเปิดโรงเรียน มีมนุษยสัมพันธ์ พอเขามายิ้มแย้มแจ่มใส ยินดีต้อนรับ ผู้ปกครองก็ติดใจ ในที่สุดก็มีนักเรียนเข้ามา 2 เดือนแรกก็ได้ 100 กว่าคน พอปีที่ 2 ก็ได้เต็มโรงเรียน ก็เลยคิดจะขยายเป็นประถมแล้วก็มัธยม ในที่สุดปัจจุบันนี้ความสำเร็จมีมากมายเหลือเกิน ขอความกรุณาฟังว่าโรงเรียน The American School of Bangkok ซึ่งแต่ก่อนเขาไม่ให้ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ พอกระทรวงศึกษาธิการให้เราก็เปลี่ยน The American School of Bangkok เพื่อที่ให้สอดคล้องกับที่เราทำ ในที่สุดเนี่ยความสำเร็จเกินคาดจริง ๆ

          ตอนนี้ในเมื่อเรามีอุดมคติพจน์ให้กับพวกท่านแล้ว ก็ขอฝากนิดนึงว่า มนุษยสัมพันธ์มันสำเร็จได้ทุกอย่าง ถ้าคุณมีมนุษยสัมพันธ์ ในการบริหารงานก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นเจ้านายสั่งลูกน้องได้ แล้วพูดจาไม่ดี เขาทำ แต่ก็ไม่เต็มใจ ธุรกิจของคุณไม่เจริญ ไม่สามารถที่จะก้าวไปสู่จุดหมายได้ เพราะฉะนั้นมนุษยสัมพันธ์นี่สำคัญ ยกตัวอย่าง อาจารย์ลักขณาไปกู้เงินBank แล้วเราอาศัยมนุษยสัมพันธ์ แล้วก็ต้องมีเครดิตด้วย ไม่ใช่มนุษยสัมพันธ์ไปกู้เงิน 200 ล้าน แล้วเขาจะให้ ถ้ามีเงิน 200 ล้าน ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ พูดจาไม่ดี เขาก็ไม่ให้ แต่ถ้าไปกู้เงิน แล้วเราก็มีมนุษยสัมพันธ์ แล้วเรามีเครดิตดี เขาไปเช็คเครดิตบูโรและมีมนุษยสัมพันธ์ดี บางทีมีเครดิตบูโร มีเงินพร้อมที่จะให้ดอกเบี้ย แต่ไม่มีความสำเร็จ ธุรกิจคุณไม่เกิด เพราะฉะนั้นขอให้บัณฑิตในวันนี้ได้ตระหนักในสิ่งที่เป็นมนุษยสัมพันธ์ บุคลิกก็สำคัญด้วย ถ้าคุณบุคลิกไม่ดี ไม่ใช่ว่าคนหน้าตาไม่ดีแล้วจะไม่สำเร็จ คือ แต่งตัวให้เรียบร้อย พูดจาให้ดี อะไรก็ตามที่คุณมีความรู้คุณเอาออกมาให้หมด สร้างความเชื่อถือให้กับเขา คุณก็จะประสบความสำเร็จ

          สุดท้ายนี้ก็ฝากไว้เพียงเท่านี้ ขอให้บัณฑิตทุกท่านมีความสำเร็จในชีวิต แล้วก็ในหน้าที่การงาน แล้วพยายามเอาสิ่งที่อาจารย์คุยวันนี้ไปทำการบ้าน ใครที่ยังไม่คิดว่าจะไปทำอะไร ให้รีบคิด ทุกอย่างต้องวางแผน ไม่วางแผนแล้วเราจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร สุดท้ายนี้นอกจากแสดงความยินดีกับบัณฑิตทุกท่านแล้ว ต้องภูมิใจ ขอขอบคุณทางมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ที่ได้รับมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์อันทรงเกียรติในครั้งนี้ และขออันเชิญพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจงประทานพรอันประเสริฐให้แก่ทุกท่านให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและครอบครัวตลอดไป ขอบคุณค่ะ

  

อาจารย์ลักขณา ดิษยะศริน   
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๕

  

Back